ทุเรียน มุมที่ถูกมอง - ทุเรียน มุมที่ถูกมอง นิยาย ทุเรียน มุมที่ถูกมอง : Dek-D.com - Writer
NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด

    ทุเรียน มุมที่ถูกมอง

    เรื่องราวของเด็กทั้ง 3 คนที่มีมุมมองต่อโลก และสิ่งที่จะทำหลังถูกมอง

    ผู้เข้าชมรวม

    94

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    94

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ส.ค. 67 / 18:51 น.
    คำเตือนเนื้อหา NC

    มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ



    ข้อมูลเบื้องต้น

    บทที่1 เปลือก
    สวัสดีครับ ผมยาอายุ 27 ปี จะมาเล่าเรื่องในอดีตที่ทำให้ผมไม่เคยลืม เป็นบาป เป็นความผิดพลาดที่ทำให้ความคิดของผมเปลี่ยน เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตอนผมอยู่ ม.ปลาย 
           มันเกิดขึ้นในวันเปิดภาคเรียนวันแรกบ้านผมอยู่ใกล้กับโรงเรียนทำให้ไม่จำเป็นต้องรีบตื่นและสายเป็นประจำตั้งแต่ ม.ต้น วันนั้นผมนอนดึกมากเพราะตื่นเต้นที่จะได้เจอเพื่อนๆในวันเปิดภาคเรียนวันแรก แต่ผมก็ต้องตื่นเพราะเสียคุณแม่ที่ตะโกนออกมาจากห้องครัว “ยาตื่นได้แล้วลูก! เปิดเรียนวันแรกจะสายไม่ได้แล้วนะ” ผมสะดุดตื่นอย่างแรกเพราะตกใจในเสียงของแม่ ทำให้ผมรีบลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำและแต่งตัว หลังจากผมทำธุระส่วนตัวเสร็จผมจึงรีบมานั่งที่ห้องครัวเพื่อกินกับข้าวที่แม่ทำไว้ให้แต่เช้า ตอนที่ผมกำลังกินข้าวอยู่นั้นแม่ก็พูดออกมาว่า “ยาไม่ต้องรีบขนาดนั้นเดียวก็ติดคอหรอกลูก ค่อยๆกิน ทีหลังก็หัดตื่นให้มันไวๆจะได้ไม่ต้องรีบร้อนแบบนี้” ผมตอบกลับแม่ไปด้วยความโมโหที่คิดแค่ว่าคนกำลังรีบๆบ่นอะไรนักหนา “รู้แล้วน่าแม่จะบ่นอะไรนักหนา ทำไมไม่ปลุกให้เช้ากว่านี้ ถ้าวันแรกผมสายก็เพราะแม่นั้นหละ”
           หลังจากสิ้นเสียงนั้นผมเดินออกจากบ้านด้วยอารมณ์โมโหที่คิดว่าไม่มีแม่คงดีจะได้ไม่ต้องมาทนฟังคำบ่น ผมรีบวิ่งจนถึงโรงเรียน แต่ทว่าเด็กทุกคนเข้าห้องหมดแล้วทำให้ผมที่มาสายหาเพื่อนร่วมห้องไม่เจอ ผมจึงไลน์ไปหาเพื่อน “มึงอยู่หัองไหนวะ หาทั่วละ” เพื่อนตอบกลับ “วันนี้อาจารย์แกคุยข้างล่างตึกที่ห้องพละ รีบมา” หลังจากนั้นผมก็รีบไปที่ห้องพละลืมบอกเพื่อนผมชื่อ ไก่ รู้จักกันตั้งแต่อนุบาลอยู่ห้องเดียวกันมาโดยตลอด กลับมาเรื่องหลัก ผมวิ่งมาถึงหัองพละทำให้ผมตกใจได้ยินเสียงออกมาจากในห้องว่า อาจารย์ “เพื่อนอีกคนอยู่ไหน วันแรกก็สายแล้วพวกคุณจะไปทำงานอะไรกันได้” ผมที่ได้ยินคำพูดของอาจารย์มีแต่ความรู้สึกผิดต่อเพื่อนๆที่ทำให้เพื่อนทุกคนต้องโดนอาจารย์ดุ ผมเปิดประตูห้องเข้าไปเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ผมได้แต่พูดคำว่า “ขอโทษ ขอโทษ” ไปเรื่อยๆ หลังจากนั่งอยู่ในความเงียบอาจารย์กลับไม่ดุไม่ว่า พูดแค่เพียงว่า “แยกย้าย ทุกคน” ผมได้แค่รู้สึกตกใจและแปลกใจที่อาจารย์ไม่เรียกผมไปคุยหรือดุผมเลย  ผมได้แค่เดินตามเพื่อนทุกคนขึ้นห้องไป แต่ทว่าบรรยากาศภายในห้องมันชวนอึดอัดและแปลกใจที่ทุกคนกลับทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งๆที่ทุกคนพึงโดนอาจารย์ว่ากันมา หลังจากนั้นคาบแรกทุกคนกลับนั่งเรียนกันแบบปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนมีคนที่ผมไม่เคยเห็นหน้าในโรงเรียนตะโกนขึ้นมาว่า “เห้ยทุกคนเราจะไม่บอกอะไรเพื่อนเรื่องเมื่อเช้าหน่อยหรอ มันแปลกมากเลยนะ” ทุกคนในห้องกลับตอบไปว่า “พูดเรื่องบ้าอะไร ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย” ผู้หญิงอีกคน “ใช่ แค่อาจารย์เรียกไปคุยด้านล่างแปลกอะไร” ทั้งสองฝ่ายกลับเถียงกันไปมาผมทำได้เพียงแค่สงสัยและประหลาดใจว่าเหตุการณ์เมื่อเช้าว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมคิดไว้ว่าจะรอจนกว่าจะพักกลางวันแล้วถามเพื่อนคนนั้นให้รู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
              พักกลางวัน ผมรีบลุกตามเพื่อนคนนั้นไปอย่างสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมจึงได้โอกาสถามตอนต่อคิวซื้อข้าว “นายเรื่องตอนเช้ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ผมถาม “บ้าไม่มีอะไรหรอก เราคงเข้าใจผิดไปเองโทษทีนะ” เพื่อนใหม่ตอบ แล้วเขาก็รับจานข้าวแล้วเดินหนีไป ผมได้แค่ไปนั่งโต้ะกินข้าวกับผู้ชายคนนั้นแล้วถามเขาว่า “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆหรอ” เพื่อนชายคนนั้นตอบ “ไม่มี!! หยุดถามได้แล้วเราจะกินข้าว” เด็กชายคนนั้นก็เดินหนีไป ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งกินข้าวเงียบๆ จนถึงเวลากลับบ้าน ผมคิดวนไปทั้งคาบบ่ายจนไม่มีสมาธิเรียน อยู่ๆไก่ก็เดินมาหาผมที่โต้ะแล้วบอกกับผมว่า “อ้าวยามึงมาตอนไหนเนี่ย ไม่มาคุยกันเลย หรือมึงพึงมาตอนบ่าย” ผมช็อคแล้วแปลกใจกับสิ่งที่ไก่พูดเป็นอย่างมาก ผมตอบกลับไปว่า “มึงแกล้งกูปะเนี่ยตอนเช้าเรายังคุยกันอยู่เลย” ผมตอบ ไก่ตอบ “บ้าคุยกันตอนไหนวันนี้โทรศัพท์กูพังจะไปรับสายมึงยังไง” ไก่ตอบ ผมที่กำลังตกใจกับคำตอบของไก่ผมจึงจะเปิดแชทที่เป็นหลักฐานว่าเราคุยกันให้ไก่ดู กลับว่าบันทึกการโทรนั้นกับไม่มีอยู่เลย ทั้งแชทและข้อความมันไม่มีเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ไก่พูด “ไหนอะมึง กูบอกแล้วโทรศัพท์กูพัง” แต่ว่าสิ่งที่ผมได้ยินละ ได้คุยละมันคืออะไร ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินกลับห้องแบบเงียบๆ และได้แต่คิดว่าผมคงคิดไปเอง หรือผมอาจเมาค้างไปเอง 
              หลังจากเดินกันมาสักพักผมกับไก่ก็แยกกันเข้าซอยกลับบ้่าน ผมได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมาว่า “ยาเลิกเรียนแล้วหรอลูก เป็นยังไงบ้างเรียนไปสัปดาห์แรกสนุกไหม” ผมตกใจกับคำถามของแม่แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรเพราะคิดว่าแม่คงพูดผิดไปเอง ผมจึงตอบกลับแม่ของผมไปว่า “สนุกดีครับ” สิ้นเสียงของผมลงผมกับแม่ก็เดินกันไปเรื่อยๆจนถึงห้อง แม่ผมรีบวิ่งนำหน้าไปประตูแล้วหันมาบอกผมว่า “รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านะลูก เดียวอีกสักพักเพื่อนลูกก็มากันแล้ว” ผมช็อคกับคำพูดของแม่และได้แต่คิดว่าผมไปนัดเพื่อนตอนไหนผมจึงถามแม่กลับไปว่า “ใครบอกหรอครับแม่ว่าวันนี้เพื่อนผมจะมากินข้าวที่บ้าน” แต่สิ่งที่ผมได้ยินกลับทำให้ผม
    ช็อคจนแทบหยุดหายใจ “ลูกไง โทรมาเองแท้ๆลืมหรือไง ความจำเด็กสมัยนี้ไม่ดีกันซะเลย” ผมตอบกลับแม่ไปว่า “แม่พูดเรื่องอะไร ผมโทรมาตอนไหน วันนี้ผมวุ่นกับเรื่องที่โรงเรียนทั้งวันไม่มีเวลามาโทรหาแม่หรอก” แม่ตอบ “ลูกดูโทรศัพท์สิ” สิ่งที่ผมเห็นกลับกลายเป็นบันทึกการโทรเข้าออกที่ผมโทรหาแม่ผมจริงๆ มันทำให้ผมเถียงไม่ออกและคิดว่าผมคงเมาค้างไปเอง ทำให้จำวันผิดวันถูกไปเอง ผมขึ้นไปบนห้องแล้วทำภารกิจส่วนตัวจนเสร็จ ตกเย็นวันนั้นเพื่อนๆในห้องมากินข้าวที่บ้านผมจริงๆทั้งๆที่ผมยังไม่รู้จักชื่อบางคนเลยด้วยซ้ำ ผมลงมาจากห้องทุกคนกลับยิ้มแย้มคุยกันอย่างสนุกสนานเหมือนสนิทกันมาสักพักแล้ว ทุกคนต่างเรียกผมให้รีบเดินลงมา ผมได้แต่คิดอยู่ในใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับวันนี้กันแน่ ทั้งวันที่อยู่โรงเรียนผมไม่ได้คุยกับใครทุกคนกลับทำเหมือนผมไม่มีตัวตนเลยด้วยซ้ำ อยู่ดีๆตกเย็นมาสนิทกันได้ยังไง 
                ในเย็นวันนั้นผมทำได้แค่เนียนๆคุยไปเหมือนรู้จักกับทุกคน และหลอกถามชื่อทุกคนไปเรื่อยๆ ไม่เคยกินข้าวอึดอัดเท่าวันนี้มาก่อนเลย มีทั้งความสงสัยและตกใจว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่ 
                ผมผ่่่่านคืนนั้นไปได้แต่มีเรื่องมากมายให้คิดทั้งเรื่องที่โรงเรียนและเรื่องกินข้าวเย็น แต่วันนี้ผมตั้งใจจะไปโรงเรียนในตอนเช้าเพื่อตรวจสอบว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวกินข้าวและเดินทางไปโรงเรียนเพื่อตรวจสอบเรื่องแปลกที่เกิดขึ้น กลับกันวันนี้ดันปกติทุกอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนผมคิดว่าผมคงคิดไปเองจริงๆแต่ทว่าขากลับจากโรงเรียนไก่วิ่งมาชวนผมกลับบ้านด้วยกัน ผมก็ไม่ได้ปฎิเสธอะไรในการชวนของไก่ ผมถามไก่ว่า “มึงพวกเราเรียนกันมากี่วันแล้ววะ” ไก่ตอบกลับ “2วันไงมึงเราพึงเปิดภาคเรียนกันเองลืมแล้วหรอ” ผมแปลกใจอีกครั้งว่ามันหมายความว่าอะไร แต่วันนี้ก็พึงวันอังคารจริงๆ แล้วทำไมแม่ถึงบอกว่าเรียนเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ทั้งๆที่พึงวันอังคาร ผมแยกย้ายจากไก่แล้วรีบกลับบ้านเพื่อถามสิ่งที่ผมสงสัย ผมเปิดประตูแล้วตะโกนเรียกหาแม่ทันที “แม่ อยู่ไหนผมมีเรื่องจะถาม” หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ผมเลยพยายามหาแม่ทั่วบ้านแต่ทำยังไงก็หาไม่เจอ จนเหลือที่สุดท้ายคือห้องของแม่เอง ผมคิดว่าแม่ของผมคงกำลังนอนอยู่เลยไม่อยากกวน ผมจึงกลับไปห้องตัวเองเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมพักผ่อน 
                  ในคืนนั้น เป็นวันสุดท้ายที่ผมมีความสุขและนอนหลับได้เต็มตา
    วันนั้นผมตื่นมาไวทำให้ผมมีเวลาอาบน้ำแต่งตัวเต็มที่ ผมเลยรีบลงมารอข้างล่างเพื่อกินข้าวแต่ในเวลานั้นแม่ผมยังไม่ตื่นมาเลย เพราะรองเท้าคู่ประจำของแม่ผมยังวางอยู่ที่เดิมเลย ผมเดินขึ้นบันไดเพื่อไปเคาะประตูห้องแม่ ผมเคาะประตูพร้อมพูดว่า “แม่ แม่ ตื่นได้แล้วทำไมวันนี้ตื่นสายจัง วันนี้อุสาตื่นไวเพื่อมาช่วยแม่นะ” หลังจากสิ้นเสียงของผม ในห้องนั้นยังเงียบและไม่มีเสียงตอบรับใดๆทั้งสิ้น ผมเริ่มเคาะเสียงดังมากขึ้นเรื่อยๆ “แม่เป็นอะไรหรือป่าว ไม่สบายตรงไหนหรือป่าว” หลังจากสิ้นเสียงนั้นผ่านไป5นาที ความรู้สึกของผมในตอนนั้นผมยังจำได้ดีไม่เคยลืม มันยังเหมือนพึงเกิดขึ้นเมื่อวานความรู้้สึกยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ในวันนั้นผมตัดสินใจพังประตูห้องแม่เข้าไป สภาพของแม่ผมในวันนั้นผมจำได้ดีมันคือเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต แม่ผมนอนตรงนิ่ง ไม่มีรอยแผลใดๆ เหมือนท่านแค่กำลังนอนอยู่เฉยๆ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือท่่านไม่มีลมหายใจอีกแล้ว นั้นคือครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นร่างของแม่ ผมโทษตัวเองมาโดยตลอดที่ไม่เชื่อฟังท่านเลยเถียงท่านทุกครั้งที่แม่สอน ทำให้แม่ลำบากมาโดยตลอด 
                  หลังจากจัดงานศพของแม่ผมเสร็จ ผมไม่เคยมีความสุขอีกเลย มันว่างเปล่าไปหมด ผมมีแต่ความสงสัยว่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้น ผมอยากรู้ว่าเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นตั้งแต่เปิดเทอมมันคืออะไรกันแน่ มันเกี่ยวข้องอะไรกันทุกอย่างดันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ใกล้กัน เหมือนทุกอย่างมันถูกวางแผนไว้หมดแล้วถ้าเป็นความบังเอิญหรือความซวยทุกอย่างมันเกินไปทั้งสิ้น ตอนนี้ก็ผ่านมาเป็นเวลา 1 ปีแล้วที่ผมต้องใช้ชีิวิตเพียงคนเดียว ไม่มีใครให้ผมต้องห่วยใย ไม่มีใครมาดุมาบ่นผมอีกแล้ว หลังจากเหตุการณ์งานศพไม่นานอาจารย์ประจำชั้นก็หายตัวไป มีข่าวบอกว่าอาจารย์แกเหมือนจะเป็นพวกชอบลวกลามเด็กนักเรียน 
                  วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมเริ่มเรียนในชั้น ม.5 เป็นช่วงชีวิตที่ผมทำตัวแย่ๆใส่เพื่อนเพียงคนเดียวของผมในชีวิต เพียงเพราะคำพูดของคนอื่น มันทำร้ายมิตรภาพอันยาวนานของผมไป ผมนัดไปโรงเรียนกับไก่เป็นประจำ เพราะไก่เขาคงเป็นห่วงผมไม่อยากให้ผมอยู่คนเดียว ผมเดินคุยกับไก่ตามปกติจนถึงหน้าโรงเรียน ไก่ได้พูดกับผมว่า “เห้ยยาดูดิมีนักเรียนมาใหม่ด้วยนั่งข้างๆมึงเลย” ผมตอบ “มึงก็รู้ว่ากูไม่มีเวลามาคิดเรื่องแบบนี้หรอก” หลังจากนั้นผมก็ได้เข้าไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆกับหญิงสาวคนนั้น เธอเป็นผู้หญิงที่สามารถทำให้ผู้ชายหลงรักได้ง่ายๆเลย ผมแอบประทับใจในรอยยิ้มของเธอเหมือนกันกับทุกคน แต่ด้วยเรื่องราวที่ผ่านมาผมไม่อยากเสียเวลาคิดเรื่องพวกนี้เลย แต่ทว่าผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ดีๆผู้หญิงคนนั้นก็มาสะกิดแขนของผมเธอถามผม “เธอๆ ชื่ออะไรหรอเราชื่อเดียร์นะ ยินดีที่ได้รู้จัก” ผมได้แค่แอบตกใจกับสิ่งที่เธอทำ ผมไม่คิดว่าคนน่ารักแบบนี้จะอยากเป็นเพื่อนกับผมเลย ทำให้ผมตอบกลับไปแบบเกรงๆว่า “เอออออ… ยินดีเหมือนกัน เรายา” หลังจากพวกเราแนะนำตัวกันเสร็จหลังจากนั้นในเวลาเรียนผมกับเธอก็คุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน เธอเป็นคนที่ยิ้มสดใสมากๆ เราคุยกันจนถึงพักกลางวันพวกเราได้ตกลงกันว่า “ยาไปกินข้าวที่ไหนเราขอไปกินด้วยดิ” ผมตอบ “มากินด้วยกันได้นะแต่มีเพื่อนนั่งด้วยอีกคนโอเคไหม” เดียร์ตอบ “โอเคดิ ว่าแต่ใครอะ แฟนหรอ” ผมตอบ “ไม่ใช่แฟน เราไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้หรอกมันคือเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันไง มันชื่อไก่นิสัยดีสุดๆเลยนะ” หลังจากที่ผมแนะนำไก่ได้ไม่นานจู่ๆไก่ก็เดินเข้ามากอดผมจากด้านหลังแล้วพูดว่า “ว่าไงมึงตั้งใจคุยกับเพื่อนใหม่เชียว กินอะไรกันดี” ผมตอบกลับ “เออพอดีเลยนี้เดียร์ จะเป็นเพื่อนพวกเราๆตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” หลังจากนั้นพวกเราสามคนเลยไปกินข้าวด้วยกัน ในระหว่างนั้นผมรู้สึกว่าวันนี้ไก่พูดเก่งเป็นพิเศษ เป็นวันที่หัวเราะเก่งมากๆ แต่ในวันนั้นผมกลับคิดว่าดีจังที่เพื่อนทั้งสองเข้ากันได้ดีน่าจะสนิทกันได้ง่าย แต่ว่าแม้เวลากินข้าวหรือเวลาหลังการกินข้าวทั้งคู่ก็ยังคุยเล่นกันอย่างเฮฮาจนผมรู้สึกว่าทั้งคู่ยังรู้ไหมว่ามีผมอยู่ด้วย จนถึงเวลาเริ่มเรียนคาบบ่าย ผมกลับเดียร์ก็ยังนั่งด้วยกันเหมือนเดิมแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือคำพูดของเดียร์ที่พูดกับผม “ยาเรารำคาญไก่ เราไม่อยากคุยกับไก่อีกเลย” ผมตกใจกับคำพูดของเดียร์เพราะมันต่างกับสิ่งที่ผมเห็นสิ่งที่ผมรู้สึกได้ ผมเริ่มถามกลับ “ทำไม? เกิดอะไรขึ้น เห็นยังคุยเล่นกันดูมีความสุขอยู่เลย” เดียร์ตอบ “ถ้าเราบอกเหตุผลยาไปยาจะเชื่อเราไหม?” ความรู้สึกตอนปีที่แล้วมันกลับมาอีกครั้งความรู้สึกที่ว่ามันกำลังเกิดเหตุการณ์บ้าอะไรบางอย่าง ผมตอบกลับ “ลองเล่าให้เราฟังก่อนเราอยากรู้ว่าเรื่องอะไร มันร้ายแรงมากเลยหรอ” ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผมเขากลับมีสีหน้าที่เศร้าและพร้อมจะเสียน้ำตาตลอดเวลา เขาตอบกลับผมสั้นๆ “ไม่เชื่อสินะ” หลังจากสิ้นเสียงคำนั้นเดียร์ได้ยกกระเป๋าและหนังสือย้ายไปนั่งข้างๆไก่ทันที เหตุการณ์แบบนี้มันกลับมาหาผมอีกครั้งความรู้สึกที่ว่าจะไม่มีทางชนะปัญหานี้ได้เลย หลังจากนั้นผมกับทุกๆคนก็นั่งเรียนกันอย่างปกติจนถึงเวลาเลิกเรียน ผมรีบเดินเข้าไปถามไก่แต่จังหวะนั้นพอดีเดียร์กลับพูดขึ้นมาว่า “ขอโทษนะไก่ วันนี้เราคงไปกินข้าวด้วยไม่ได้ วันนี้เรามีธุระที่บ้าน” สิ้นเสียงของเดียร์แต่ไก่กับมีสีหน้าไม่พอใจในสิ่งที่เดียร์พูดออกมา ผมเลยชวนไก่ไปนั่งเล่นที่ห้องเพื่อจะฟังคำอธิบายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมกับไก่เดินกันมาเริ่อยๆบรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดทำให้ผมไม่กล้าชวนไก่คุยเลยด้วยซ้ำ จนมาถึงหน้าบ้าน ไก่พูดกับผมว่า “ยาอยากรู้เรืี่องอะไรนายถามเถอะ” ผมตอบกลับว่า “มาคุยกันข้างในเถอะ เรื่องน่าจะยาว” หลังจากนั้นไก่กับผมก็เดินเข้าไปในบ้านด้วยกัน ผมรีบไปแกะถุงกับข้าวที่พึงซื้อมาจากตลาด ผมถามไก่ “ไก่มึงคิดยังไงกับเดียร์วะ” ไก่ตอบ “เดียร์เขาเป็นเพื่อนกับกูตั้งแต่บ้านเก่าแล้ว กูว่ากูยังชอบเดียร์วะ” ผมตกใจในคำตอบของไก่เพราะมันหมายถึงสิ่งที่เดียร์พูดมามันคือความจริง ผมพูดกับไก่ “โอเคมึงถ้ามึงชอบมึงก็จีบเต็มที่เลยเว้ย” ผมเชื่อในตัวของไก่มากว่าเขาไม่มีทางทำพฤติกรรมแบบนั้นแน่นอน ไก่ “ขอบใจมึงช่วยกูจีบด้วยละกัน” หลังจากการพูดคุยในตอนนั้นผมกับไก่เรานั่งกินข้าวด้วยกันอีกสักพักหลังจากนั้นไก่ก็กลับบ้านไป ผมนอนคิดทั้งคืนว่าเรื่องนี้มีใครคนนึงโกหกอยู่แน่นอน ตอนเช้าผมยังทำทุกอย่างเหมือนปกติแต่สิ่งที่เปลี่ยนไป “ยาไปโรงเรียนด้วยกันนะ” เดียร์พูดพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้ผมตกหลุมรักเธอ ผมตอบกลับเดียร์ “อือ ได้สิไปโรงเรียนด้วยกัน” ผมกับเดียร์เราเดินคุยเล่นกันตลอดทาง แต่ระหว่างที่กำลังจะเดินเข้าโรงเรียนกลับเห็นไก่ที่กำลังยืนอยู่หน้าโรงเรียน ไก่มองพวกเราด้วยสายตาเย็นชาแบบที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากยืนอยู่สักพักไก่ก็เดินเข้าไปในโรงเรียนแบบที่ไม่ทักพวกเราเลยด้วยซ้ำ “ช่างไก่เถอะยาเรารำคาญคนแบบนี้อะ เรียกร้องความสนใจ” เดียร์พูดขึ้นมา “ใจเย็นๆนะเดียร์ ยาว่าคงมีเรื่องเข้าใจผิดกัน เดียวยารีบตามไปก่อน” หลังจากนั้นผมก็รีบวิ่งตามไก่ไปที่ห้องเรียนแต่ไก่กับพูดว่า “มึงชอบเดียร์ใช่ไหม” ผมเบื่อกับความรู้สึกที่ต้องปิดบังมันมากเกินไปแล้ว “ใช่มึงกูชอบเดียร์ กูโครตชอบเลย” ผมตอบกลับไป หลังจากนั้นไก่ก็เดินออกไปจากห้องเรียนไปและสัปดาห์นั้นผมไม่ได้เจอไก่อีกเลยจนเวลาผ่านไป
                  1 เดือนผ่านไป….. คนที่ทุกคนคิดว่าน่าจะออกจากโรงเรียนไปแล้วกลับมาโรงเรียนและยังทำตัวเหมือนปกติ เหมือนเรื่องวันนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้น แต่ว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปคือท่าทางของเดียร์ที่มีทีท่าเหมือนกำลังกลัวอะไรอยู่ตลอดเวลา “เดียร์เป็นอะไรไป” ผมถาม เดียร์ตอบผมแค่ว่า “ป่าว ไม่อะไรหรอก แค่ไม่สบายนิดหน่อยเดียวก็คงหาย” สถานนะผมกับเดียร์ตอนนี้พวกเรากำลังคบกันอยู่ ถึงเวลาพักกลางวันผมรีบดึงเดียร์ไปเพื่อถามตรงๆว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับท่าทีของเดียร์ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแน่นอน “เดียร์เกิดอะไรขึ้น บอกเรามาตามตรงนะ” ผมถามตอนนั้นผมเห็นหน้าของเดียร์และความรู้สึกในตอนนั้นเธอกำลังกลัวแบบสุดขีดอยู่แน่ๆ “ยาต้องเชื่อเรานะ เราไม่มีคนอื่นให้พึ่งแล้วจริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา 1 เดือนไก่ตามเราตลอดเวลาทั้งสะกดรอยตามและถ่ายรูป เรากลัวไก่มากเลยยา ช่วยเราด้วย” เดียร์เข้ามากอดผมในหัวผมเหมือนจะระเบิดเพราะมีปัญหาหลายอย่างเข้ามาพร้อมกัน ผมตอบ “เดี๋ยวเราไปคุยกับไก่มันให้เอง” ผมรีบวิ่งหาไก่ทั่วโรงเรียน จนมาเจอไก่ที่ห้องพละ “ไก่มึงอธิบายเรื่องนี้มาเดียวนี้” ผมถามด้วยความโมโห “กูขอโทษจริงๆวะกูพยายามตัดใจแล้ว” ไก่ตอบ ผมช็อคกับสิ่งที่ได้ยิินจากปากไก่ “แสดงว่าเรื่องทั้งหมดมันคือเรื่องจริงมาโดยตลอดสินะ” หลังจากนั้นผมวิ่งเข้าไปต่อยไก่หนึ่งหมัด หลังจากนั้นผมตัดสินใจแจ้งความเรื่องสะกดรอยตามเดียร์ ซึ่งหลักฐานทุกอย่างเดียร์เตรียมไว้หมดแล้ว แต่สิ่งที่น่าตกใจคือไก่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พูดแค่ว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด “ความจริงมันไม่ใช่แบบนี้นะเดียร์ ช่วยพูดให้ไก่หน่อย บอกไปทีว่าพวกเรากำลังคบกัน” ตอนนั้นผมคิดว่าไก่คงจะหาข้อแก้ตัวไปเรืี่อย วันนั้นเป็นอีกวันที่ทำให้ผมรู้สึกเสียใจที่สุดในชีิวิตมันทำให้ผมเสียเพื่อนคนสุดท้ายในชีวิตผมไป หลังจากเหตุการณ์นั้นผมกับเดียร์พวกเราก็คบกันมาเรื่อยๆ จนถึงปีสุดท้ายในชีวิตการเรียน มอปลาย นี้คือบทสรุปของเรื่องราว 3 ปีที่ผ่านมา
    ……………………………………………..…….…….มอ หกปีสุดท้าย ………………………………………………………………….
                ในช่วงปิดเทอมผมกับเดียร์พวกเราก็ยังเป็นแฟนกันต่อมาเรื่อยๆ จนถึงวันนั้น “เดียร์ยาอยากไปเยี่ยมไก่มันหน่อย” สีหน้าของเดียร์เปลี่ยนไปเมื่อผมพูดออกไป “อย่าไปหาเลยคนแบบนั้น” หลังจากนั้นผมก็พยายามจะอธิบายให้เดียร์ฟังจนใจออกลงจนยอมใจอ่อนไปเยี่ยมไก่ด้วยกัน 
                ผมกับเดียร์พวกเราขอเข้าเยี่ยมไก่ด้วยกัน แต่สภาพไก่ที่ผมเห็น มันแย่มากทั้งภายในและภายนอก ไก่ผอมลงจนน่าตกใจร่างกายที่เหมือนคนพร้อมเป็นโรคตลอดเวลา ที่เอาแต่พูดว่ามันเข้าใจผิด ฉันโดนใส่ร้ายทุกอย่างมันไม่จริง ตอนนั้นที่ผมเห็นสภาพของไก่ เขาเหมือนจะเป็นบ้าไปแล้ว ผมทนดูสภาพของเพื่อนเก่าผมไม่ได้ ผมจึงเลือกที่จะออกมาจากการเยี่ยมไก่ “เดียร์พวกเรากลับกันเถอะ ไก่มันไม่รู้เรื่องแล้ว” หลังจากนั้นพวกเรานั่งรถกลับกัน ผมนั่งเงียบตลอดทางไม่เคยคิดว่าเพื่อนผมจะมีสภาพแย่ขนาดนั้น ……แต่ทว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีสุดท้ายนั้นมันคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของผม มันทำให้ผมไม่เคยไหวใจใครอีกเลย….
               วันนั้นคือวันเปิดภาคเรียนในวันแรก ผมกับเดียร์พวกเรามาอยู่ด้วยกันในบ้านของผม เธอคือสิ่งๆเดียวที่ทำให้ผมยังอยากมีชีวิตต่อ “ยาไปกันนะ ปีสุดท้ายแล้ว” ผมตอบ “ไปกัน” ผมกับเดียร์พวกเรายังอยู่ห้องเดียวกันเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือความรู้สึกที่ไม่เชื่อใจใครอีกแล้ว ในระหว่างที่นั่งรออาจารย์เข้ามาสอนอยู่ดีๆก็มีคนแปลกหน้าเข้ามา คนที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนในโรงเรียนแห่งนี้ “สวัสดีครับนักเรียนทุกคน ผมเป็นอาจารย์คนใหม่ และเป็นครูประจำชั้นห้องนี้ด้วย” หลังจากที่ฟังสิ่งที่อาจารย์ใหม่พูดออกมา แต่ลักษณะของอาจารย์คนใหม่ดันเป็นคนพิการทางสายตา 
             ในที่สุดก็ได้เวลาเลิกเรียนผมกับเดียร์ที่กำล้งจะเดินกลับบ้าน อยู่ดีๆอาจารย์ใหม่ก็เดินเข้ามาหาพวกเราพร้อมพูดว่า “เด็ก 2 คนที่อยู่ตรงนั้นนะช่วยพาอาจารย์กลับห้องพักหน่อยได้ไหม พอดีครูหลงทางน่ะ” ผมพูด “ได้สิครับครู แต่ผมมีข้อสงสัยที่อยากถามครูอยู่อย่างนึงนะครับ” ครูตอบ “ได้สิ ถามมาได้เลย” ผมตอบพร้อมมองหน้าครู “คุณเป็นใครกันแน่ มาทำอะไรที่โรงเรียนแห่งนี้ ขอความจริงนะครับผมไม่มีเวลามาเล่นกับใครอีกแล้ว” ครูตอบพร้อมหัวเราะ “สมแล้วๆๆ เป็นเด็กที่ลำบากมามากเลยสินะ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะบอกหรอกนะ ถ้าเธอยังคบกับผู้หญิงคนนี้อยู่” ผมตกใจมากกับสิ่งที่ครูพูดออกมา เดียร์พูดแทรกขึ้นมา “คุณพูดเรื่องอะไร ไม่เคยรู้จักกันเลยแท้ๆจะมาพูดให้เลิกกันทำไม” ครูแอบยิ้มที่มุมปากพร้อมพูดว่า “นายคงเข้าใจใช่ไหมยา สิ่งที่ครูพูดน่ะ” หลังจากนัั้นครูก็เดินจากไป ผมคิดไม่ตกกับสิ่งที่ครูใหม่พูดออกมา ผมกับเดียร์วันนั้นพวกเราแยกกันกลับ และขอให้เดียร์กลับไปนอนที่บ้านก่อน ทุกคนอาจยังไม่รู้สินะก่อนหน้านี้พวกเราแม่ลูกยังมีพ่ออยู่อีกคน แต่ด้วยพ่อของผมดันเลิกกับแม่เพื่อไปมีชู้และไปมีครอบครัวใหม่ และมีข่าวมาว่าพ่อของผมเขาเป็นคนฆ่าครอบครัวตัวเอง และยังฆ่าตัวตายตามไป ผมสงสัยมาโดยตลอดว่าคนอย่างพ่อผมเขาจะฆ่าคนได้ และหน้าของเดียร์ที่หน้าคล้ายกับพ่อของผมแบบบอกไม่ถูก แต่ด้วยความรักและตอนนี้ผมไม่มีใครอีกแล้ว ผมพยายามไม่คิดเรื่องนี้มาโดยตลอด 
             หลังจากวันนั้นผมกับเดียร์พวกเราแยกกันอยู่สักพัก แต่เดียร์ก็ยังพยายามง้อและอธิบายเรื่องต่างๆให้ผมฟัง แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากฟัง ตกเย็นวันนั้นผมนัดกับครูไปคุยกันที่ร้านอาหาร ครูพูดออกมา “จำได้แล้วสินะยา” ผมตอบ “จำได้แล้ว คุณคือพี่ชายของพ่อผม” ครูเขาอมยิ้มและพูดว่า “ดีจริงๆนะยาที่จำได้ ขอโทษนะที่ฉันพึ่งไม่ได้ เรื่องทั้งหมดนะคือฝืมือของเดียร์ เดียร์นี้คือผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด เด็กคนนั้นคือลูกสาวคนเดียวของพ่อเธอ ผู้หญิงคนนั้นแค้นมากที่พ่อเธอทิ้งแม่เดียร์ไปและมีชู้และยังตบตีแม่ของเดียร์เป็นประจำ จนทำให้แม่ของเดียร์เสียชีวิตในที่สุด” ผมช็อคกับสิ่งที่ได้ยินและได้แต่คิดว่า พ่อคนนั้นน่ะนะ เดียร์น่ะนะ ครูพูดต่อ “เด็กคนนั้นคือคนที่ฆ่าพ่อเธอ และยังฆ่าแม่เธอในอีกเดือนที่ผ่านมา” ในวันนั้น “เดียร์เข้าไปในบ้านของแม่นายตอนที่นายไปโรงเรียน บอกแม่ของเธอว่าเขาเป็นลูกของพ่อ หลังจากนั้นเดียร์ก็แอบวางยาแม่เธอ” หลังจากพูดจบครูหยิบหลักฐานทั้งหมดออกมาและเดินจากไปแต่ก่อนจะออกจากร้านเขาพูดว่า “ฝากที่เหลือด้วยนะยานั่นคือสิ่งที่ฉันหามาโดยตลอด” หลังจากนั้นผมก็ตรงกับบ้านและคิดเรื่องนี้ทั้งคืน และผมยังแอบไปเยี่ยมไก่เพียงคนเดียวและไก่อธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ว่าเดียร์มาชอบไก่ก่อน และเดียร์เป็นคนที่โทรให้ไก่ไปหาที่บ้านเป็นประจำ หลังจากนั้นผมเอาหลักฐานทั้งหมดเอาไปให้ตำรวจ และตำรวจตามจับเดียร์อยู่นาน จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถหาตัวของเดียร์ได้พบ มีข่าวมากมายว่าเธออาจฆ่าตัวตายไปแล้ว หนีออกจากประเทศไปแล้วมั้ง หลังจากที่ผมเรียนจบผมพาไก่ไปรักษาในโรคภาวะทางจิต และชวนครูมาอยู่ด้วยกันที่บ้านของผม 
               ปัจจุบัน ตอนนี้ผมกับครูพวกเรายังอยู่ด้วยกัน และครูเลือกจะไปเป็นครูสอนพิเศษโรงเรียนเล็กๆแห่งหนึ่ง ไก่มีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นมากผมเลยพาไก่มารักษาต่อที่บ้าน และเดียร์มีอยู่วันนึงที่อยู่ดีๆบ้านของแม่เดียร์ก็ไหม้แบบไม่มีเหลือศาก หน่วยดับเพลิงยังเจอกระดูกที่เหมือนของมนุษย์อยู่ 2 ร่างและได้รับการคาดเดาว่า หลังจากเดียร์หลบหนีไปสักพักจนเงินมีไม่เพียงพอจึงกลับมาที่บ้านเพื่อขอเงินแม่แต่มีการทะเลาะวิวาทกันจนเหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้เกิดขึ้น และตอนนี้ผมเป็นหมอรักษาสภาพจิต ทำมาได้ 2 ปีแล้วชีวิตของผมมีความสุขดีและเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น และผมจะอยู่ต่อไปเพื่อรักษาคนไข้ที่มีอาการสภาวะทางจิต ที่โดนทำร้ายจากคนในครอบครัว เพื่อนและคนรอบข้าง ผมอยากเห็นคนไข้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้ต่อไปเรื่อยๆ แบบไม่มีเรื่องกังวลใจ
     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×